สาเหตุตาล้า ฝ้าฝางจากการขับรถตอนกลางวัน

เคยสังเกตไหมว่าการมองเห็นของคุณไม่ชัดเจนเหมือนปกติ มองอะไรก็พล่าเบลอ โดยเฉพาะเมื่อเวลาขับรถในตอนกลางวัน สาเหตุเหล่านี้อาจเกิดขึ้นจากแสงแดดและการจ้องมองคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟนเป็นเวลานาน ทำให้เกิดตาล้า ตาฝ้าฝางได้ 

แสงจอคอมพิวเตอร์เป็นแสงที่ประกอบด้วยคลื่นแสงสีต่างๆ เช่นเดียวกับแสงธรรมชาติ แต่มีความยาวคลื่นที่สั้นกว่าแสงสีฟ้า แสงสีฟ้าเป็นแสงที่มีพลังงานสูง จึงสามารถทะลุผ่านกระจกตาและเลนส์แก้วตา ไปจนถึงจอประสาทตาได้ ส่งผลให้เกิดอันตรายต่อดวงตาได้ เช่น 

  • ตาล้า เกิดจากการที่กล้ามเนื้อตาทำงานหนักมากเกินไปจากการจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ส่งผลให้เกิดอาการปวดเมื่อยตา ปวดศีรษะ ตามัว และอาจมองเห็นภาพซ้อน
  • ตาแห้ง เกิดจากการที่แสงสีฟ้าจากหน้าจอคอมพิวเตอร์กระตุ้นให้ต่อมน้ำตาหลั่งน้ำตาน้อยลง ส่งผลให้ดวงตาแห้ง ระคายเคือง และอาจมองเห็นภาพเบลอได้
  • จอประสาทตาเสื่อม แสงสีฟ้าจากหน้าจอคอมพิวเตอร์อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดจอประสาทตาเสื่อม ซึ่งเป็นโรคที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อจอประสาทตา ทำให้สูญเสียการมองเห็นได้
  • โรคต้อกระจก แสงสีฟ้าจากหน้าจอคอมพิวเตอร์อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดต้อกระจก ซึ่งเป็นโรคที่เลนส์แก้วตาขุ่นมัว ทำให้มองเห็นไม่ชัด
  • โรคภูมิแพ้ตา แสงสีฟ้าจากหน้าจอคอมพิวเตอร์อาจกระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ตา เช่น คันตา น้ำตาไหล ตาแดง เป็นต้น

แสงแดดประกอบด้วยรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) 3 ชนิด ได้แก่

  • รังสียูวีเอ (UVA) : มีความยาวคลื่นยาวที่สุด สามารถทะลุผ่านชั้นบรรยากาศและกระจกได้ ทำให้เกิดปัญหาผิวแก่ก่อนวัย เกิดกระ ฝ้า จุดด่างดำ และริ้วรอย
  • รังสียูวีบี (UVB) : มีความยาวคลื่นสั้นกว่ารังสียูวีเอ ทำให้เกิดอาการผิวไหม้ แดง แสบ คัน และลอก
  • รังสียูวีซี (UVC) : มีความยาวคลื่นสั้นที่สุด แต่ถูกดูดซับโดยชั้นบรรยากาศ จึงไม่ส่งผลต่อมนุษย์โดยตรง

อันตรายจากแสงแดดต่อดวงตา

  • ต้อกระจก เป็นภาวะที่เลนส์แก้วตาขุ่นมัว ทำให้มองเห็นไม่ชัด รังสี UV เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระ ซึ่งสามารถทำลายโปรตีนในเลนส์แก้วตา ทำให้เลนส์แก้วตาขุ่นมัวได้
  • โรคจอประสาทตาเสื่อม เป็นภาวะที่จอประสาทตาเสื่อมสภาพ ทำให้สูญเสียการมองเห็น รังสี UV สามารถทำลายเซลล์ในจอประสาทตา ทำให้จอประสาทตาเสื่อมสภาพได้
  • ต้อลม เป็นภาวะที่เนื้อเยื่อที่บุผิวตาอักเสบและหนาตัวขึ้น รังสี UV สามารถทำลายเนื้อเยื่อที่บุผิวตา ทำให้อักเสบและหนาตัวขึ้นได้
  • มะเร็งผิวหนังรอบดวงตา รังสี UV สามารถกระตุ้นให้เกิดมะเร็งผิวหนังรอบดวงตาได้
  • โรคตาแห้ง รังสี UV สามารถทำให้ต่อมน้ำตาหลั่งน้ำตาน้อยลง ทำให้ดวงตาแห้ง ระคายเคือง และอาจมองเห็นภาพเบลอได้

วิธีป้องกันอันตรายจากแสงแดดต่อดวงตา

  • สวมแว่นกันแดดที่มีเลนส์ป้องกันรังสี UV 99-100% แว่นกันแดดที่ดีควรมีเลนส์ป้องกันรังสี UVB และ UVA 99-100% เลนส์ควรทำจากวัสดุที่มีคุณภาพ เช่น โพลีคาร์บอเนต หรือทริปเลกซ์ เลนส์ควรมีสีเข้มพอที่จะกรองรังสี UV ได้
  • หลีกเลี่ยงการอยู่กลางแจ้งในช่วงที่แสงแดดแรงที่สุด ช่วงเวลาที่แสงแดดแรงที่สุด คือ ช่วงเวลา 10.00-16.00 น.
  • สวมหมวกปีกกว้าง หมวกปีกกว้างสามารถช่วยป้องกันดวงตาจากแสงแดดได้
  • ทาครีมกันแดดรอบดวงตา ครีมกันแดดที่มี SPF 30 ขึ้นไป สามารถช่วยป้องกันดวงตาจากรังสี UV ได้

สาเหตุของตาล้า ตาฝ้าฝาง

ตาล้า (Asthenopia) เกิดจากกล้ามเนื้อตาทำงานหนักมากเกินไป เช่น การอ่านหนังสือหรือทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ส่งผลให้เกิดอาการปวดเมื่อยตา ปวดศีรษะ ตามัว และอาจมองเห็นภาพซ้อน บางครั้งอาจมีอาการปวดตา, ตาแดง และตากระตุกร่วมด้วย

เมื่อพบสัญญาณตาล้า ควรให้สายตาได้พัก เช่น

  • พักสายตาจากหน้าจอหรือหน้าหนังสือทุกๆ 20 นาที เป็นเวลา 20 วินาที แล้วเปลี่ยนไปมองวัตถุที่อยู่ห่างออกไปประมาณ 20 ฟุต
  • ปรับแสงสว่างให้เหมาะสม ไม่สว่างเกินไปหรือมืดเกินไป
  • ปรับท่านั่งทำงานให้เหมาะสม ไม่ควรนั่งทำงานนานๆ หรืออยู่ในท่าเดิมเป็นเวลานาน
  • ออกกำลังกายดวงตาเป็นประจำ เช่น การกระพริบตาบ่อยๆ การหลับตาพักสายตา เป็นต้น

ตาฝ้าฝาง (Floaters) เกิดจากเศษโปรตีนหรือเซลล์ที่ลอยอยู่ภายในของเหลวในลูกตา ทำให้เกิดเงาหรือภาพลอยไปมาในดวงตา มักพบในคนอายุ 40 ปีขึ้นไป แต่อาจพบได้ตั้งแต่อายุยังน้อย ตาฝ้าฝางส่วนใหญ่ไม่เป็นอันตรายและสามารถมองเห็นได้ชัดเจนขึ้นเมื่อมองวัตถุที่มีพื้นหลังสว่าง เช่น ท้องฟ้า ผนังสีขาว เป็นต้น

สัญญาณตาฝ้าฝาง

  • เห็นเงาหรือจุดลอยไปมาในดวงตา
  • เห็นภาพซ้อน
  • มองภาพไม่ชัด
  • มองเห็นแสงแฟลชหรือแสงวูบวาบ

นอกจากนี้ ตาฝ้าฝางยังเกิดจากได้จากความผิดปกติของเลนส์ตา เช่น โรคต้อกระจก โรคเบาหวานขึ้นจอตา โรคจอประสาทตาเสื่อม โรคจอประสาทตาอักเสบ โรคจอประสาทตาจอประสาทตาหลุดลอก โรคจอประสาทตาถลอก โรคตาแห้ง เป็นต้น

วิธีหลีกเลี่ยงตาฝ้าฝาง ทำได้โดย

  • สวมแว่นกันแดดทุกครั้งที่ออกแดด
  • ตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ
  • รับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ผักผลไม้ที่มีสีสด เช่น แครอท มะเขือเทศ ผักโขม ผักบุ้ง เป็นต้น
  • ติดฟิล์มกรองแสงรถยนต์ที่มีคุณภาพ

วิธีเลือกฟิล์มกรองแสงรถยนต์เพื่อลดความเสี่ยงตาล้า ตาฝ้าฝาง

  • ป้องกันรังสี UV ได้ 99-100% รังสี UV เป็นรังสีอันตรายที่อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพของดวงตาและผิวหนัง ฟิล์มกรองแสงที่ดีควรมีคุณสมบัติในการป้องกันรังสี UV ได้ 99-100%
  • ป้องกันความร้อนได้มีประสิทธิภาพ ฟิล์มกรองแสงที่ดีควรมีคุณสมบัติในการลดความร้อนจากแสงแดดได้มีประสิทธิภาพ ทำให้ภายในรถเย็นสบายขึ้น
  • ไม่บดบังทัศนวิสัย ฟิล์มกรองแสงที่ดีควรมีคุณสมบัติไม่บดบังทัศนวิสัยของผู้ขับขี่ ทำให้มองเห็นรถและคนรอบข้างได้อย่างชัดเจน
  • ทนทานต่อการใช้งาน ฟิล์มกรองแสงที่ดีควรมีความทนทานต่อการใช้งาน มีอายุการใช้งานยาวนาน

นอกจากนี้ ควรพิจารณาปัจจัยอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น

  • ความเข้มของฟิล์ม ฟิล์มกรองแสงมีระดับความเข้มให้เลือกหลายระดับ ขึ้นอยู่กับความต้องการและความชอบของผู้ใช้งาน ฟิล์มความเข้มต่ำ เช่น 40% หรือ 60% จะให้ทัศนวิสัยที่ดีกว่า แต่อาจไม่ช่วยลดความร้อนได้เท่าฟิล์มความเข้มสูง เช่น 80% หรือ 90%
  • สีของฟิล์ม ฟิล์มกรองแสงมีสีให้เลือกหลายสี ขึ้นอยู่กับความต้องการและความชอบของผู้ใช้งาน ฟิล์มสีเข้ม เช่น สีดำ สีชา สีน้ำตาล เป็นต้น จะช่วยป้องกันแสงแดดได้ดีกว่าฟิล์มสีอ่อน
  • ราคา ฟิล์มกรองแสงมีราคาแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับยี่ห้อ คุณภาพ และคุณสมบัติต่างๆ ควรเลือกฟิล์มที่มีคุณภาพเหมาะสมกับงบประมาณ

ในการเลือกซื้อฟิล์มกรองแสงรถยนต์ ควรพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น รวมถึงการสอบถามข้อมูลจากผู้ขายหรือช่างผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ได้ฟิล์มกรองแสงที่มีคุณภาพและเหมาะสมกับการใช้งาน

ในการเลือกซื้อฟิล์มกรองแสงรถยนต์ ควรพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น รวมถึงการสอบถามข้อมูลจากผู้ขายหรือช่างผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ได้ฟิล์มกรองแสงที่มีคุณภาพและเหมาะสมกับการใช้งาน

Similar Posts