ติดฟิล์มบ้านช่วยประหยัดไฟได้จริงหรือไม่
ติดฟิล์มบ้านช่วยประหยัดค่าไฟ
ค่าไฟแพงขึ้น เกิดได้จากหลายสาเหตุ
- ราคาเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น : เชื้อเพลิงเป็นปัจจัยหลักในการผลิตไฟฟ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานหลักของประเทศไทย ราคาก๊าซธรรมชาติในตลาดโลกมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าสูงขึ้นตามไปด้วย
- การเพิ่มขึ้นของความต้องการใช้ไฟฟ้า : ความต้องการใช้ไฟฟ้ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สาเหตุหลักมาจากการเติบโตของเศรษฐกิจ การเพิ่มจำนวนประชากร และการใช้ไฟฟ้าในภาคอุตสาหกรรมและอาคารพาณิชย์ที่เพิ่มขึ้น
- นโยบายภาครัฐ : ภาครัฐมีนโยบายสนับสนุนการใช้พลังงานหมุนเวียนมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหลัก เช่น ถ่านหินและก๊าซธรรมชาติสูงขึ้น
- การขาดแคลนไฟฟ้า : ประเทศไทยประสบปัญหาการขาดแคลนไฟฟ้าในช่วงฤดูร้อน สาเหตุหลักมาจากความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นและปริมาณการผลิตไฟฟ้าที่ไม่สามารถตอบสนองความต้องการได้ทั้งหมด ส่งผลให้ราคาค่าไฟฟ้าปรับตัวสูงขึ้น
มาตรการช่วยเหลือค่าไฟฟ้า
ค่าไฟแพงขึ้นส่งผลกระทบต่อประชาชนทุกภาคส่วน รัฐบาลได้ออกมาตรการช่วยเหลือประชาชนในการลดภาระค่าไฟ เช่น
- มาตรการลดค่าไฟฟ้าสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยและกิจการขนาดเล็ก
- มาตรการลดค่าไฟสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าที่ติดตั้งโซลาร์เซลล์
- มาตรการลดค่าไฟสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าที่ร่วมโครงการอนุรักษ์พลังงาน
อย่างไรก็ตามเรามีวิธีประหยัดค่าไฟที่ทำตามได้ง่ายๆ ดังนี้
- ใช้ไฟฟ้าอย่างประหยัด
- ปิดไฟทุกครั้งเมื่อไม่ใช้งาน
- ใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 ดาว
- ติดตั้งโซลาร์เซลล์
- ติดฟิล์มกรองแสงหรือผ้าม่านเพื่อกักเก็บอุณหภูมิและสะท้อนความร้อนในบ้าน
โดยการติดฟิล์มกรองแสงสามารถช่วยประหยัดค่าไฟได้ โดยลดความร้อนจากดวงอาทิตย์ที่เข้ามาในบ้าน เมื่อเลือกใช้ฟิล์มกรองแสงที่ดีควรมีค่าความเข้มของการสะท้อนรังสีความร้อน (Solar Heat Gain Coefficient : SHGC) ต่ำ ฟิล์มกรองแสงที่มีค่า SHGC ต่ำจะสะท้อนความร้อนจากดวงอาทิตย์ได้มากขึ้น ทำให้บ้านเย็นขึ้น ประหยัดค่าไฟที่ใช้สำหรับเครื่องปรับอากาศได้
ค่า Solar Heat Gain Coefficient (SHGC) คืออะไร
ค่า Solar Heat Gain Coefficient (SHGC) คือ ค่าความเข้มของการสะท้อนรังสีความร้อนจากดวงอาทิตย์ผ่านกระจก มีค่าตั้งแต่ 0 ถึง 1 โดยค่า SHGC ต่ำแสดงว่ากระจกสามารถสะท้อนความร้อนจากดวงอาทิตย์ได้มากขึ้น ส่งผลให้ภายในอาคารเย็นขึ้นและประหยัดค่าไฟฟ้าได้มากขึ้น
ฟิล์มกรองแสงที่มีค่า SHGC ต่ำจะช่วยลดความร้อนจากดวงอาทิตย์ที่เข้ามาในห้องได้ดีกว่าฟิล์มกรองแสงที่มีค่า SHGC สูง ฟิล์มกรองแสงที่มีค่า SHGC ต่ำจึงเหมาะสำหรับอาคารที่ต้องการประหยัดค่าไฟฟ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาคารที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีแสงแดดจัด เช่น อาคารที่อยู่ทางทิศใต้หรือทิศตะวันตก
ฟิล์มกรองแสงที่มีค่า SHGC ต่ำมีหลายประเภท เช่น
- ฟิล์มกรองแสงนิรภัย
- ฟิล์มกรองแสงกันความร้อน
- ฟิล์มกรองแสงกันรังสี UV และ
- ฟิล์มกรองแสงกันแสงสะท้อน
ฟิล์มกรองแสงแต่ละประเภทมีราคาและคุณสมบัติที่แตกต่างกัน สามารถเลือกฟิล์มกรองแสงที่เหมาะสมกับความต้องการและงบประมาณได้
ค่า SHGC ของฟิล์มกรองแสงสามารถดูได้จากฉลากฟิล์มกรองแสง ฉลากฟิล์มกรองแสงจะแสดงค่า SHGC ของฟิล์มกรองแสงรวมถึงคุณสมบัติอื่นๆ ของฟิล์มกรองแสง เช่น ระดับการกันความร้อน ระดับการกันรังสี UV และระดับการกันแสงสะท้อน
ตรวจสอบค่า Solar Heat Gain Coefficient (SHGC)
วิธีการตรวจสอบค่า Solar Heat Gain Coefficient (SHGC) ของฟิล์มกรองแสงสามารถทำได้ง่ายๆ ดังนี้
- มองหาฉลากฟิล์มกรองแสง ฉลากฟิล์มกรองแสงจะแสดงค่า SHGC ของฟิล์มกรองแสง รวมถึงคุณสมบัติอื่นๆ ของฟิล์มกรองแสง เช่น ระดับการกันความร้อน ระดับการกันรังสี UV และระดับการกันแสงสะท้อน
- สอบถามผู้ผลิตฟิล์มกรองแสง ผู้ผลิตฟิล์มกรองแสงสามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับค่า SHGC ของฟิล์มกรองแสงได้
- ตรวจสอบเว็บไซต์ของผู้ผลิตฟิล์มกรองแสง เว็บไซต์ของผู้ผลิตฟิล์มกรองแสงมักจะมีข้อมูลเกี่ยวกับค่า SHGC ของฟิล์มกรองแสง
การประหยัดค่าไฟจากฟิล์มกรองแสงขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น สภาพอากาศ ตำแหน่งของบ้าน ขนาดของหน้าต่าง และชนิดของฟิล์มกรองแสง โดยทั่วไปแล้ว ฟิล์มกรองแสงสามารถช่วยประหยัดค่าไฟได้ประมาณ 10-20% ในแต่ละปี
ตัวอย่างการประหยัดค่าไฟจากฟิล์มกรองแสง
- บ้านขนาด 100 ตารางเมตร ติดตั้งฟิล์มกรองแสงที่มีค่า SHGC ต่ำ 0.35 สามารถประหยัดค่าไฟได้ประมาณ 1,500 บาทต่อปี
- บ้านขนาด 200 ตารางเมตร ติดตั้งฟิล์มกรองแสงที่มีค่า SHGC ต่ำ 0.30 สามารถประหยัดค่าไฟได้ประมาณ 3,000 บาทต่อปี
การติดฟิล์มกรองแสงเป็นวิธีง่ายๆ ที่ช่วยประหยัดค่าไฟและทำให้บ้านเย็นสบายขึ้น ฟิล์มกรองแสงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว