ล้างรถบ่อยๆ ส่งผลให้ฟิล์มกันรอยพังเร็วขึ้นหรือไม่

ล้างรถบ่อย ฟิล์มเสียไหม

รถยนต์สะอาด ดูสวยใหม่เสมอ แต่การล้างรถบ่อยครั้งมากเกินไปทำลายสีรถยนต์และฟิล์มกรองแสงหรือไม่นะ เพราะในน้ำยาล้างรถอาจผสมสารเคมีที่ทำให้กัดกร่อนความสดใสเหล่านี้ได้ หากใครมีข้อสงสัย วันนี้เรามีคำตอบ

สาเหตุที่ทำให้ฟิล์มพังเร็ว

การล้างรถบ่อยๆ ส่งผลให้ฟิล์มพังเร็วได้จริง แต่ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ ร่วมได้ ไม่ใช่เพียงแค่น้ำยาล้างรถเพียงอย่างเดียว

ประเภทของฟิล์มกันรอยรถยนต์

การเลือกติดฟิล์มกันรอยรถยนต์ (Paint Protection Film) ก็มีผลต่อความทนทานเช่นเดียวกัน โดยในท้องตลาดมี ฟิล์มกันรอยแบบเคลือบแก้วจะมีความทนทานต่อรอยขีดข่วนและสารเคมีมากกว่าฟิล์มกันรอยแบบธรรมดา

1. ฟิล์มกันรอยแบบเคลือบแก้ว

เป็นฟิล์มชนิดพิเศษที่ผลิตจากวัสดุโพลียูรีเทนที่มีความยืดหยุ่นสูงและทนทานต่อรอยขีดข่วน ฟิล์ม PPF มีความใสเหมือนแก้ว จึงสามารถปกป้องสีรถจากรอยขีดข่วน สะเก็ดหิน รังสี UV และสารเคมีต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ฟิล์ม PPF แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ

  • ฟิล์ม PPF แบบหนา (200-300 ไมครอน) มีความทนทานสูง สามารถป้องกันรอยขีดข่วนและสะเก็ดหินได้ในระดับสูง เหมาะสำหรับผู้ที่ใช้งานรถในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น พื้นที่ที่มีการก่อสร้าง หรือพื้นที่ที่มีฝุ่นละอองมาก
  • ฟิล์ม PPF แบบบาง (100-200 ไมครอน) มีความทนทานปานกลาง สามารถป้องกันรอยขีดข่วนและสะเก็ดหินได้ในระดับหนึ่ง เหมาะสำหรับผู้ที่ใช้งานรถในพื้นที่ทั่วไป

การติดฟิล์ม PPF จำเป็นต้องใช้ช่างผู้ชำนาญการ เนื่องจากฟิล์ม PPF มีความยืดหยุ่นสูง จึงต้องติดตั้งอย่างระมัดระวัง เพื่อให้ฟิล์มแนบสนิทกับตัวถังรถและป้องกันไม่ให้เกิดฟองอากาศ

ข้อดีของฟิล์มกันรอยแบบเคลือบแก้ว

  • ปกป้องสีรถจากรอยขีดข่วน สะเก็ดหิน รังสี UV และสารเคมีต่างๆ
  • ช่วยให้รถดูเงางามและคงสภาพสีรถให้สดใหม่อยู่เสมอ
  • ทำความสะอาดได้ง่าย
  • มีอายุการใช้งานยาวนาน

ข้อเสียของฟิล์มกันรอยแบบเคลือบแก้ว

  • ราคาค่อนข้างสูง
  • ต้องได้รับการดูแลรักษาอย่างระมัดระวัง

2. ฟิล์มกันรอยแบบธรรมดา

ฟิล์มกันรอยแบบธรรมดา เป็นฟิล์มชนิดที่ผลิตจากวัสดุพลาสติกที่มีความยืดหยุ่นสูงและทนทานต่อรอยขีดข่วนในระดับหนึ่ง ฟิล์มกันรอยแบบธรรมดามีลักษณะใสหรือด้าน สามารถปกป้องสีรถจากรอยขีดข่วน สะเก็ดหิน และฝุ่นละอองได้ในระดับหนึ่ง

ฟิล์มกันรอยแบบธรรมดาแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ

  • ฟิล์มใส ช่วยให้มองเห็นสีรถได้ชัดเจน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้สีรถดูสดใส
  • ฟิล์มด้าน ช่วยลดแสงสะท้อนและทำให้หน้าจอสัมผัสได้สบายตา เหมาะสำหรับผู้ที่ใช้งานหน้าจอสัมผัสบ่อยๆ

การติดฟิล์มกันรอยแบบธรรมดาสามารถทำได้ด้วยตัวเองหรือใช้บริการจากร้านติดตั้งฟิล์มรถยนต์ ฟิล์มกันรอยแบบธรรมดามีราคาไม่สูงและติดตั้งได้ง่ายกว่าฟิล์มกันรอยแบบเคลือบแก้ว

ข้อดีของฟิล์มกันรอยแบบธรรมดา

  • ราคาไม่สูง
  • ติดตั้งง่าย
  • ปกป้องสีรถจากรอยขีดข่วน สะเก็ดหิน และฝุ่นละอองได้ในระดับหนึ่ง

ข้อเสียของฟิล์มกันรอยแบบธรรมดา

  • มีความทนทานน้อยกว่าฟิล์มกันรอยแบบเคลือบแก้ว
  • อาจทำให้สีรถดูหมองลงได้หากไม่ได้รับการทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ

ฟิล์มกันรอยแบบธรรมดา เป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมสำหรับเจ้าของรถที่ต้องการปกป้องสีรถจากรอยขีดข่วนในราคาประหยัด

ฟิล์มกรองแสงสามารถแบ่งออกเป็นประเภทต่างๆ ดังนี้

  • ฟิล์มย้อมสี (Color Coating Film) เป็นฟิล์มชนิดที่ผลิตโดยการนำแผ่นฟิล์มโพลีเอสเตอร์มาเคลือบด้วยสีย้อม ซึ่งสีย้อมจะช่วยในการลดแสงส่องผ่านและป้องกันรังสียูวีได้ แต่ประสิทธิภาพในการกันความร้อนจะต่ำกว่าฟิล์มประเภทอื่นๆ
  • ฟิล์มเคลือบโลหะ (Metallized Film) เป็นฟิล์มชนิดที่ผลิตโดยการนำแผ่นฟิล์มโพลีเอสเตอร์มาเคลือบด้วยโลหะ เช่น เงิน ทองแดง อะลูมิเนียม เป็นต้น ซึ่งโลหะจะช่วยในการสะท้อนแสงและป้องกันรังสียูวีได้ แต่อาจทำให้เกิดแสงสะท้อนรบกวนสายตาได้
  • ฟิล์มเซรามิค (Ceramic Film) เป็นฟิล์มชนิดที่ผลิตโดยการนำแผ่นฟิล์มโพลีเอสเตอร์มาเคลือบด้วยสารเซรามิค ซึ่งสารเซรามิคจะช่วยในการลดแสงส่องผ่านและป้องกันรังสียูวีได้ และมีประสิทธิภาพในการกันความร้อนสูง
  • ฟิล์มนาโน (Nano Film) เป็นฟิล์มชนิดที่ผลิตโดยการนำแผ่นฟิล์มโพลีเอสเตอร์มาเคลือบด้วยอนุภาคนาโน ซึ่งอนุภาคนาโนจะช่วยในการลดแสงส่องผ่านและป้องกันรังสียูวีได้ และมีประสิทธิภาพในการกันความร้อนสูง

การล้างรถยนต์บ่อยๆ อาจทำให้ฟิล์มกรองแสงเสื่อมสภาพเร็วกว่าอายุการใช้งานจริงได้ หากล้างรถด้วยวิธีที่ไม่ถูกต้อง เช่น

  • ใช้น้ำยาล้างกระจกที่มีส่วนผสมของแอมโมเนีย น้ำยาล้างกระจกที่มีส่วนผสมของแอมโมเนียอาจทำให้กาวที่ใช้ติดฟิล์มเสื่อมสภาพและหลุดลอกได้
  • ใช้ฟองน้ำหรือผ้าที่มีขนแข็ง ฟองน้ำหรือผ้าที่มีขนแข็งอาจทำให้เกิดรอยขีดข่วนบนฟิล์มได้
  • ล้างรถกลางแดด การล้างรถกลางแดดอาจทำให้น้ำยาล้างกระจกระเหยเร็วเกินไป และทำให้คราบน้ำตกค้างบนฟิล์มได้

หากล้างรถด้วยวิธีที่ถูกวิธี จะช่วยยืดอายุการใช้งานของฟิล์มกรองแสงรถยนต์ได้ โดยควรล้างรถด้วยน้ำสะอาดและผ้านุ่ม หรือใช้น้ำยาล้างรถสำหรับฟิล์มกรองแสงโดยเฉพาะ

ความถี่ในการล้างรถ

การล้างรถบ่อยเกินไปอาจทำให้ฟิล์มเสื่อมสภาพได้ เนื่องจากสารเคมีในน้ำยาล้างรถอาจกัดกร่อนชั้นฟิล์มได้ อย่างไรก็ตาม การปล่อยให้รถสกปรกเป็นเวลานานก็อาจทำให้ฟิล์มเสียหายได้เช่นกัน เนื่องจากสิ่งสกปรกอาจขูดขีดหรือกัดกร่อนชั้นฟิล์มได้

เราควรล้างรถยนต์ทุก 2-3 สัปดาห์ หรือทันทีที่รู้สึกว่ารถสกปรกมากเกินไปแล้ว การล้างรถบ่อยๆ จะช่วยขจัดสิ่งสกปรกและคราบต่างๆ ที่เกาะติดกับตัวรถ ซึ่งอาจทำให้เกิดรอยขีดข่วนหรือความเสียหายอื่นๆ ได้

นอกจากนี้ การล้างรถยังช่วยปกป้องสีรถจากรังสี UV และสารเคมีต่างๆ ที่อาจทำให้สีรถซีดจางหรือหมองลงได้

วิธีล้างรถไม่ให้ฟิล์มกันรอยเสื่อมสภาพไว

การล้างรถด้วยมืออย่างระมัดระวังจะช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายต่อฟิล์มได้ การล้างรถด้วยเครื่องอัดฉีดน้ำแรงดันสูงอาจทำให้ฟิล์มเสียหายได้

  • ล้างรถในที่ร่มหรือในวันที่แดดไม่จัด
  • ล้างรถด้วยน้ำเปล่าก่อนใช้น้ำยาล้างรถ
  • ใช้น้ำยาล้างรถชนิดอ่อนโยน
  • ล้างรถด้วยมืออย่างระมัดระวัง ใช้ฟองน้ำหรือผ้านุ่มๆ เช็ดรถ
  • ล้างรถด้วยน้ำเปล่าอีกครั้งหลังจากใช้น้ำยาล้างรถ
  • เช็ดรถให้แห้งด้วยผ้านุ่มๆ

ปัจจัยเหล่านี้อาจส่งผลต่ออายุการใช้งานของฟิล์มได้ โดยทั่วไปแล้ว การล้างรถทุก 2-3 สัปดาห์จะเพียงพอสำหรับการขจัดสิ่งสกปรกและคราบทั่วไป อย่างไรก็ตาม หากรถของคุณต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่รุนแรง เช่น ฝุ่นละอองหรือสารเคมี อาจจำเป็นต้องล้างรถบ่อยขึ้น

Similar Posts