ทำไมไม่ควรเก็บพาวเวอร์แบงก์ไว้ในรถยนต์
พาวเวอร์แบงก์ (power bank) เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็กที่ใช้เก็บพลังงานไฟฟ้าเพื่อชาร์จอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ พาวเวอร์แบงก์ส่วนใหญ่ใช้แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนหรือลิเธียมโพลิเมอร์ ซึ่งมีความไวต่ออุณหภูมิสูง
การจอดรถตากแดดจัดจะทำให้อุณหภูมิภายในรถสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจทำให้แบตเตอรี่พาวเวอร์แบงก์ร้อนจัดจนเกิดความร้อนสูงเกินไปและอาจระเบิดได้ ในกรณีร้ายแรง ไฟไหม้อาจลุกลามไปยังส่วนอื่นๆ ของรถและอาจทำให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินหรือเสียชีวิตได้
ดังนั้น จึงควรหลีกเลี่ยงการเก็บพาวเวอร์แบงก์ไว้ในรถยนต์ โดยเฉพาะเมื่อจอดรถตากแดดจัด ควรเก็บพาวเวอร์แบงก์ไว้ในที่ร่มหรือในกระเป๋าหรือกล่องที่ระบายความร้อนได้ดี
การดูแลรักษาพาวเวอร์แบงก์เพื่อความปลอดภัย
- หลีกเลี่ยงการทิ้งพาวเวอร์แบงก์ไว้ในรถที่จอดตากแดดจัด
- เก็บพาวเวอร์แบงก์ไว้ในที่ร่มหรือในกระเป๋าหรือกล่องที่ระบายความร้อนได้ดี
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสพาวเวอร์แบงก์กับของเหลวหรือความชื้น
- หลีกเลี่ยงการชาร์จพาวเวอร์แบงก์ด้วยสายเคเบิลหรืออะแดปเตอร์ที่ชำรุด
- หลีกเลี่ยงการซ่อมแซมพาวเวอร์แบงก์ด้วยตนเอง
หากพาวเวอร์แบงก์ของคุณชำรุดหรือเสียหาย ควรนำไปทิ้งในที่ที่เหมาะสม
ความร้อนในรถยนต์เกิดขึ้นได้หลายสาเหตุ เช่น แสงแดด การจราจรที่ติดขัด เครื่องยนต์ทำงานหนัก และอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ ในรถ
ลดความร้อนในรถยนต์ทำได้โดย
- จอดรถในที่ร่ม หากเป็นไปได้ ควรจอดรถในที่ร่ม เช่น ใต้ต้นไม้หรือใต้หลังคา จะช่วยป้องกันไม่ให้แสงแดดส่องถึงและทำให้รถร้อนขึ้น
- เปิดหน้าต่าง เมื่อจอดรถควรเปิดหน้าต่างเล็กน้อย จะช่วยให้อากาศถ่ายเทและระบายความร้อนได้
- ติดฟิล์มกรองแสง ฟิล์มกรองแสงจะช่วยป้องกันไม่ให้แสงแดดส่องถึงและทำให้รถร้อนขึ้น
- ใช้พัดลมหรือแอร์ เมื่อขับรถควรเปิดพัดลมหรือแอร์เพื่อระบายความร้อนภายในรถ
- หลีกเลี่ยงการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ไม่จำเป็น อุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ เช่น เครื่องเล่นเพลง เครื่องเล่นวิดีโอ คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ ฯลฯ จะช่วยเพิ่มความร้อนให้กับรถ ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ไม่จำเป็น
- ตรวจเช็คระบบปรับอากาศ ระบบปรับอากาศที่ทำงานไม่มีประสิทธิภาพจะทำให้รถร้อนขึ้น ดังนั้นจึงควรตรวจเช็คระบบปรับอากาศอย่างสม่ำเสมอ
นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงการทิ้งสิ่งของที่มีความร้อนสูงไว้ในรถ เช่น อาหาร เครื่องดื่ม เสื้อผ้า ฯลฯ สิ่งของเหล่านี้จะดูดซับความร้อนจากรถและทำให้รถร้อนขึ้น
การปล่อยให้รถยนต์มีอุณหภูมิภายในสูงทำให้เกิดอันตราย
- อันตรายต่อร่างกาย อุณหภูมิภายในรถที่สูงอาจทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย เวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน หมดสติ และเสียชีวิตได้ เด็ก ผู้สูงอายุ และสัตว์เลี้ยงมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดอันตรายจากความร้อนภายในรถ
- อันตรายต่อทรัพย์สิน อุณหภูมิภายในรถที่สูงอาจทำให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ในรถเสียหาย เช่น เครื่องเล่นเพลง เครื่องเล่นวิดีโอ คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ ฯลฯ
- อันตรายต่อสิ่งแวดล้อม รถยนต์ที่จอดตากแดดอาจทำให้สารพิษจากพลาสติกและยางละลายออกมาในอากาศ ซึ่งอาจก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศได้
ฟิล์มกรองแสงแบบใดช่วยลดอุณหภูมิในรถยนต์ได้ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของฟิล์มกรองแสงนั้นๆ โดยหลักแล้ว ฟิล์มกรองแสงจะช่วยลดอุณหภูมิในรถยนต์ได้โดยการสะท้อนความร้อนจากดวงอาทิตย์ออกไปหรือดูดซับความร้อนไว้และค่อย ๆ ปล่อยออกมาทีละน้อย
ฟิล์มกรองแสงที่ช่วยลดอุณหภูมิในรถยนต์
- ฟิล์มกรองแสงแบบสะท้อนแสง (Reflective filter film) ฟิล์มกรองแสงชนิดนี้ใช้สารเคลือบสะท้อนแสงเพื่อสะท้อนความร้อนจากดวงอาทิตย์ออกไป ฟิล์มกรองแสงชนิดนี้สามารถลดอุณหภูมิภายในรถยนต์ได้สูงสุดถึง 90%
- ฟิล์มกรองแสงแบบดูดซับแสง (Light absorbing filter film) ฟิล์มกรองแสงชนิดนี้ใช้สารเคลือบดูดซับแสงเพื่อดูดซับความร้อนจากดวงอาทิตย์ไว้และค่อย ๆ ปล่อยออกมาทีละน้อย ฟิล์มกรองแสงชนิดนี้สามารถลดอุณหภูมิภายในรถยนต์ได้สูงสุดถึง 60%
- ฟิล์มกรองแสงแบบผสม (Mixed tint film) ฟิล์มกรองแสงชนิดนี้ใช้สารเคลือบทั้งแบบสะท้อนแสงและแบบดูดซับแสงร่วมกัน เพื่อลดอุณหภูมิภายในรถยนต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ฟิล์มกรองแสงชนิดนี้สามารถลดอุณหภูมิภายในรถยนต์ได้สูงสุดถึง 80%
นอกจากคุณสมบัติของฟิล์มกรองแสงแล้ว การเลือกความเข้มของฟิล์มกรองแสงที่เหมาะสมก็มีส่วนช่วยในการลดอุณหภูมิในรถยนต์ได้เช่นกัน โดยฟิล์มกรองแสงที่มีความเข้มสูงจะช่วยลดแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ได้มากขึ้น จึงช่วยลดความร้อนจากดวงอาทิตย์ได้มากขึ้นเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ฟิล์มกรองแสงที่มีความเข้มสูงอาจทำให้ทัศนวิสัยในการขับขี่ลดลง ดังนั้นจึงควรเลือกความเข้มของฟิล์มกรองแสงให้เหมาะสมกับความต้องการ